คุณเคยสงสัยไหมว่า นี่เราเป็นคนบ้างาน หรือเราแค่ทำงานหนักกันนะ?
จริงๆ แล้ว มันมีเส้นบางๆ กั้นอยู่นะ ระหว่าง ‘คนบ้างาน’ กับ ‘คนทำงานหนัก’ วันนี้ Q Hunter จะพาไปดูว่า คน 2 กลุ่มนี้ต่างกันยังไง เพราะการรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนกลุ่มไหน จะช่วยให้เราดูแลกายใจได้ดีขึ้นด้วย
คนบ้างาน (workholic) คือคนที่ไม่สามารถต้านทานความอยากทำงานได้เลย ไม่ว่าตอนนั้นจะเป็นวันหยุด อยู่กับครอบครัว อยู่กับแฟน หรือเวลาใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่เวลางาน แม้ว่าจะไม่มีอะไรเร่งด่วนแต่คนบ้างานก็จะเอางานขึ้นมาทำเสมอ ทำให้คนกลุ่มนี้เป็นคนที่ไม่มี worlk-life balance เลย เพราะพวกเขามักจะให้งานสำคัญกว่าทุกสิ่ง
งานวิจัยพบว่าคนบ้างานมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาสุขภาพ เช่น ปัญหาการนอนหลับ มีภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) และเหนื่อยล้าสะสม แถมยังเผชิญกับความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจากการเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น ภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันสูงอีกด้วย
การเป็นคนบ้างานยังทำให้คุณพลาดโอกาสสนุกๆ ในชีวิตส่วนตัวด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะไม่มีเวลาให้ตัวเองแล้ว ยังไม่มีเวลาให้คนรอบข้าง ทำให้เข้าสังคมน้อยลง และความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวแย่ลงด้วย
ส่วนการเป็นคนทำงานหนัก (working long hours) ไม่ได้ทำให้เราเป็นคนบ้างาน เพราะมันต่างกันตรงที่ เราอาจจะไม่ได้ยุ่งแบบนี้ตลอดเวลา งานไม่ได้เยอะแบบนี้ตลอดปี อาจจะมีแค่บางช่วงเท่านั้นที่งานจะเข้ามาพร้อมกัน ทำให้เราต้องทำงานเพิ่มในวันหยุด หรือมีชั่วโมงการทำงานที่นานขึ้น
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ คนที่ทำงานหนักจะสามารถหยุดคิดเรื่องงานได้เมื่อถึงเวลาเลิกงาน และเข้าใจว่าร่างกายคนเราต้องการการพักผ่อน ในขณะที่สมองของคนบ้างานมักจะยุ่งอยู่กับงานตลอดเวลา หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องงาน รู้สึกเหมือนตัวเองถูกบังคับให้ทำงานตลอดเวลา ทั้งนอกเวลางานและในวันหยุดสุดสัปดาห์
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้ตัวว่า ‘ฉันนี่แหละคือคนบ้างานคนนั้นเอง’ มาดูวิธีแก้ไขกันดีกว่า เพื่อที่สุขภาพจิตของคุณจะได้ดีขึ้น
1. ปลดปล่อยความรู้สึกผิด
คนบ้างานมักจะรู้สึกผิดอย่างมากเมื่อไม่ได้ทำงาน พวกเขามักจะรู้สึกเหมือนกำลังทำให้คนอื่นผิดหวังหรือกำลังขัดขวางความสำเร็จของตัวเองอยู่ สำหรับบางคน การมีอำนาจในที่ทำงานก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่าต้องมีส่วนร่วมตลอดเวลา ต้องมีความเห็นทุกเรื่อง ทั้งที่จริงๆ ไม่ต้องทำหรือไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลยก็ได้ คุณควรจะหยุดคิดเรื่องงาน หาวิธีใช้ชีวิตให้มี worlk-life balance และไปสนุกกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตบ้าง เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่งานเพียงอย่างเดียว
2. อย่าแก้ปัญหาด้วยการทำงานน้อยลง แต่ต้องตระหนักรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเรา
คุณอาจจะคิดว่าแค่ลดชั่วโมงการทำงานลงก็เท่ากับช่วยให้บ้างานน้อยลงได้แล้ว แม้ว่าจะช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ใช้ทางออกที่ดีที่สุด ปัญหาของคนบ้างานคือการหมกมุ่นอยู่กับงาน ไม่ใช่จำนวนชั่วโมงที่นานกว่าคนอื่น
งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าคนบ้างานมีความเครียดจากงานสูง มีความสมดุลระหว่างชีวิตกับงานน้อยลง และความพึงพอใจในชีวิตก็ลดลงด้วยเช่นกันเมื่อเทียบกับคนที่ไม่บ้างาน คนบ้างานถึงกับเครียดเมื่อพวกเขาทำงานไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกกำหนดให้ใช้ชีวิตอยู่กับงาน ความหมกมุ่นที่พวกเขามีต่องานจึงทำให้สุขภาพจิตแย่ตามไปด้วย
ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ คนบ้างานต้องตระหนักรู้และเข้าใจตัวเองก่อนว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ และหาวิธีปรับตัวให้มี work-life balance มากขึ้น อาจจะเริ่มจากการหางานอดิเรกอื่นๆ ทำหลังเลิกงาน กำหนดเวลาทำงานให้ชัดเจน และหาโอกาสไปใช้เวลากับคนรอบข้างให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว คนรัก หรือเพื่อนสนิท เพื่อที่จะได้ปล่อยวางจากการทำงานและไปทำกิจกรรมอื่นบ้าง
3. หันมาดูแลตัวเอง และให้เวลากับตัวเองมากขึ้น
จากเดิมที่เราเคยจัดลำดับความสำคัญไว้ว่างานต้องมาที่ 1 ต่อไปนี้คุณต้องหันมาโฟกัสที่ตัวเองมากขึ้นได้แล้ว ลองวางแผนดูว่า เราสามารถทำอะไรให้สุขภายกายและสุขภาพใจของเราดีขึ้นดีขึ้นได้บ้าง ไม่ว่าจะเรื่องการกิน การนอน ออกกำลังกาย หรือทำอะไรก็ได้ที่คุณสนใจและอยากทำมานานแล้ว ลองเอาเวลาส่วนตัวที่คุณเคยยกให้งานกลับมาคืนให้ตัวเองดูนะ แล้วคุณจะพบว่าจริงๆ แล้ว เราไม่ต้องทำงานตลอดเวลาก็ได้
Source:
Better Up | https://bit.ly/44oNFKu
—-------------------------
Q Hunter - บริษัทจัดหางาน
ตำแหน่งงานดีๆ รอคุณอยู่ ฝาก Resume ไว้ได้เลยที่ www.qhunter.co.th
Q Hunter - Matching the right people at the first time
บริษัทจัดหางานที่มีตำแหน่งงานดีๆ รอคุณอยู่ ฝาก Resume ไว้ได้เลยที่ Apply here
สนใจบริการสรรหาพนักงานสามารถติดต่อได้ที่ Contact Us