ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาการทำงานแบบ Hybrid Working ก็กลายมาเป็นเทรนด์ในการทำงานรูปแบบใหม่ที่หลายออฟฟิศทั้งในไทยและต่างประเทศหันมาใช้กันจนถึงปี 2023 เพราะนอกจากต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โรคระบาดแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมาบริษัทยังพิสูจน์แล้วว่า เราไม่ต้องไปออฟฟิศทุกวันก็ยังสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้!
Hybrid Working คือรูปแบบการทำงานแบบผสมผสาน ที่ให้พนักงานทำงานที่บ้านผสมกับการเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ ผสมกับการทำงานแบบทำงานที่บ้าน หรือ Remote Working ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่พนักงานหลายคนค่อนข้างถูกใจ เพราะการทำงานมีความยืดหยุ่นในหลายๆ ด้าน และยังทำให้ Work-Life Balance ดีขึ้นด้วย
ข้อมูลจาก Microsoft Trend Index ปี 2022 พบว่าคนมากกว่า 53% ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่าการทำงาน ส่วนคน Gen Y (Millennial) และ Gen Z กว่า 52% มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนงานภายในปีนี้ ทำให้ทิศทางของแรงงานปี 2022 ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน คนที่ทำงาน Remote ก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมาทำงานแบบ Hybrid ส่วนคนที่ทำแบบ Hybrid อยู่แล้วก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเป็นทำงานแบบ Remote คน Gen Yและ Gen Z จึงมีความคิดที่จะย้ายที่ทำงานหรือเปลี่ยนสถานที่ทำงานไปเลย เช่น ย้ายจังหวัดหรือย้ายประเทศ
แต่การทำงานที่ไม่ได้เจอทีมตลอดทั้งสัปดาห์ เราจะทำยังไงให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และความสัมพันธ์ในทีมดีขึ้นด้วย มาลองดูกันว่า 5 สิ่งที่ช่วยให้การทำงานแบบ Hybrid Working ประสบความสำเร็จมีอะไรบ้าง
ปัจจัยหลักๆ มีอยู่ 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ
1. การสื่อสารและวัฒนธรรมองค์กร และ 2. เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ช่วยในการทำงาน
1. การสื่อสารคือหัวใจสำคัญ
ข้อนี้คือปัจจัยที่หลายออฟฟิศที่ทำงานแบบผสมผสานต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะไม่ว่าพนักงงานจะทำงานในออฟฟิศหรืออยู่ที่บ้านก็ตาม แต่พวกเขาจำเป็นต้องมีส่วนร่วม ได้แสดงความคิดเห็น รู้สึกมีค่า และมีแรงจูงใจในการทำงาน หากไม่มีการสื่อสารที่ดีภายในองค์กร จะกระทบไปถึงความสัมพันธ์ของพนักงาน ซึ่งส่งผลกระทบถึงประสิทธิภาพของธุรกิจด้วย องค์กรจึงควรมีการสื่อสารข้อมูลกันอย่างทั่วถึง เช่น การแจ้งเรื่องต่างๆ ผ่านอีเมลอหรือโปรแกรมที่ใช้ทำงานร่วมกันย่างสม่ำเสมอ
2. โฟกัสที่วัฒนธรรมองค์กร
ถ้าอยากให้การทำงานแบบผสมผสานประสบความสำเร็จ ต้องทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นวัฒนธรรมขององค์กรและเป็นค่านิยมที่ทุกคนยึดถือร่วมกัน ต้องหาวิธีลงทุนกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ที่ช่วยทำให้พนักงานทำงานแบบผสมผสานอย่างมีประสิทธิภาพได้ โดยใช้การเทรนนิ่ง หรือใช้เกมเข้ามาช่วย เช่น หากหนึ่งในค่านิยมขององค์กรคือการทำงานเป็นทีม ให้นึกถึงการจัดกิจกรรมสร้างทีมหรือแนะนำให้เล่นเกมออนไลน์ซึ่งมีส่วนร่วมทั้งทีม จะทำให้พนักงานได้สื่อสารภายในทีมกันมากขึ้น
3.รับฟังคำติชมจากพนักงาน
ถ้าอยากรู้ว่าแผนการทำงานแบบผสมผสานในองค์กรของเราเวิร์คจริงไหม? และต้องปรับปรุงอะไรบ้าง? ต้องคอยรับฟังความเห็นจากพนักงาน เพราะพวกเขาคือคนที่มีประสบการณ์กับงานนี้มากที่สุด ผู้นำองค์กรจะต้องรับรู้ว่าพนักงานต้องการอะไร ขาดอะไร มีอะไรที่ควรปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และเก็บรวบรวมคำติชม เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาให้การทำงานแบบผสมผสานดีขึ้น เช่น สำรวจความเห็นจากพนักงานก่อนว่าอยากเดินทางมาทำงานที่ออฟฟิศกี่วันต่อสัปดาห์ พนักงานมีสภาพแวดล้อมที่พร้อมสำหรับการทำงานที่บ้านไหม? รู้สึกมีส่วนร่วมกับงานและได้รับข้อมูลข่าวสารขององค์กรเพียงพอไหม?
‘เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ช่วยในการทำงาน’
เพื่อให้การสื่อสารภายในเป็นไปอย่างราบรื่น จึงต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสมเข้ามาช่วยให้พนักงานสามารถทำงานแบบผสมผสานได้ง่ายๆ
4. จัดหาอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้กับพนักงาน
บริษัทจำเป็นต้องจัดหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมให้พนักงาน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนสามารถทำงานได้อย่างสะดวกสบายไม่ว่าจะอยู่ในออฟฟิศหรือทำงานที่บ้าน เมื่อพนักงานมีความพร้อมด้านเครื่องมือ ก็จะส่งผลดีกับประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรด้วย องค์กรที่มีเทคโนโลยีที่ดี มีระบบการทำงานที่พร้อม ก็จะดึงดูดให้พนักงานที่มีความสามารถอยากร่วมงานด้วย
5. อย่าทำงานแบบ Hybrid ถ้ายังไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสม
เมื่อทำงานแบบผสมผสาน การเชื่อมต่อของทีมงานจะมีความซับซ้อนมากขึ้น องค์กรควรมีเครื่องมือที่ตอบโจทย์การทำงานในทุกวัน เช่น แพลตฟอร์มในการคุยงาน การประชุม การวางแผนงาน ที่ไม่ว่าจะทำงานจากที่บ้านหรือที่ออฟฟิศ เครื่องมือนี้ก็ควรจะเชื่อมถึงกัน และพนักงานเข้าถึงได้ทุกคน และเข้าถึงได้ทุกที่ การมีเครื่องมือที่เหมาะสมจะทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการทำงาน และทำให้การทำงานแบบผสมผสานเวิร์คขึ้นกว่าเดิม
Q Hunter - Matching the right people at the first time
บริษัทจัดหางานที่มีตำแหน่งงานดีๆ รอคุณอยู่ ฝาก Resume ไว้ได้เลยที่ Apply here
สนใจบริการสรรหาพนักงานสามารถติดต่อได้ที่ Contact Us