วงการ Hybrid Work เข้าแล้วออกยาก!
บริษัทไหนที่ปรับตัวได้แล้ว บอกเลยว่ากลับมาทำงานที่ออฟฟิศทุกวันไม่ได้อีกต่อไป เพราะตอนนี้ชาว Hybrid Work เขามีเทรนด์ใหม่คือ ‘Coffee badging’ จากที่เข้าออฟฟิศมาเพื่อทำงาน กันอย่างแข็งขันวันละหลายชั่วโมง ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นการเข้ามาจิบกาแฟ มาเจอเพื่อนในออฟฟิศ พูดคุยกันสักพัก แล้วกลับบ้านไปทำงานต่อ เพราะหลายคนบอกว่าทำงานที่บ้านแล้วมีประสิทธิภาพมากกว่า
Q Hunter จะพาไปดูว่าเทรนด์นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และบริษัทไทยนำเทรนด์นี้มาใช้บ้างได้ไหม?
เทรนด์ Coffee badging เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยมีการสำรวจจากบริษัท Owl Labs ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์การประชุมผ่านวิดีโอ สำรวจผู้คนกว่า 2,000 คน พบว่า 58% ของพนักงานออฟฟิศที่ทำงานแบบ Hybrid Working มักเข้าออฟฟิศเพื่อมาดื่มกาแฟยามเช้า แล้วกลับบ้านช่วงบ่ายเพื่อไปทำงานต่อในช่วงที่เหลือของวัน ไม่ได้เข้ามาเพื่อทำงานเต็มเวลาทั้งวันแต่อย่างใด
Yannique Ivey พนักงานออฟฟิศวัย 27 ปีที่ทำงานแบบ Hybrid Working ในเมืองแอตแลนตา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่า ปกติแล้วเธอทำงานที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ งานของเธอต้องเข้าออฟฟิศแค่ 1-2 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น และเธอจะใช้เวลาอยู่ในออฟฟิศแค่ช่วง 11.00-15.00 น. ซึ่งกิจกรรมที่เธอทำก็ไม่ใช่การเข้าไปประชุมหรือทำงานที่โต๊ะทั้งวันแต่อย่างใด แต่เธอเข้าออฟฟิศเพื่อออกไปหาข้าวกลางวันกินกับเพื่อนๆ พูดคุยอัปเดตกันนิดหน่อย และกลับบ้านก่อนเวลาเพื่อเลี่ยงช่วงเวลาที่รถติดในตอนเย็น
Yannique Ivey เป็นเพียงหนึ่งในหลายเคสของกลุ่มตัวอย่างพนักงานในสหรัฐอเมริกา ที่เข้าออฟฟิศเพราะเป็นหน้าที่ที่ ‘ต้องเข้า’ เท่านั้น แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อทำงานเช้าจรดเย็น ข้อมูลการสำรวจของ Owl Labs จากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกัน 2,000 คน พบว่า 58% ของพนักงานที่ทำงานแบบ Hybrid Working ยอมรับว่า พวกเขากำลังทำ Coffee Badging ซึ่งก็คือการไปออฟฟิศเพื่อพบปะเพื่อนร่วมงานและกินกาแฟเท่านั้น และอีก 8% ที่ยังไม่เคยลอง Coffee Badging ก็มองว่าไอเดียนี้น่าสนใจและอยากนำไปลองใช้เช่นกัน
ไปออฟฟิศแต่ไม่ได้งาน แบบนี้ยังเรียกว่าไปทำงานอยู่ไหม?
บางคนอาจจะรู้สึกว่าคนที่กำลังทำ Coffee Badging อยู่ เหมือนเป็นคนอู้งาน แต่จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องปกติของการทำงานแบบ Hybrid Working ที่บริษัทส่วนมากจะมีวัฒนธรรมการทำงานที่ค่อนข้างยืดหยุ่น ไม่มีการ Clock-in หรือ Clock-out ที่ตายตัว และมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ในการทำงาน มากกว่าจำนวนชั่วโมงที่พนักงานใช้ในการทำงาน บริษัทเหล่านี้จะให้ความสำคัญกับการเข้าออฟฟิศมาเจอกันเป็นครั้งคราวเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในทีม มากกว่าที่จะเข้ามานั่งทำงานด้วยกันถ้าไม่ใช่งานที่สำคัญจริงๆ
Frank Weishaupt CEO ของ Owl Labs บอกว่า แม้ว่าชาว Coffee Badging จะเข้ามาที่ออฟฟิศเพื่อพบปะพูดคุยและดื่มกาแฟในช่วงครึ่งวันเช้า หรือเข้ามาแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ทำงานไปตลอดทั้งวัน พวกเขาอาจจะเข้ามาคุยงาน ตอบอีเมล หรือทำงานเล็กๆ ที่ไม่ต้องใช้สมาธิมากระหว่างอยู่ในออฟฟิศ และกลับไปทำงานยากๆ ที่บ้านคนเดียวก็ได้
ในหลายองค์กรที่มีปัญหาความไม่ไว้วางใจระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง และไม่มีวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นมาก่อน อาจจะทำให้นายจ้างส่วนใหญ่กังวลว่าการไม่เข้ามาทำงานในออฟฟิศหมายความว่าลูกจ้างของพวกเขาไม่ได้ทำงานอยู่ (ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งก็ยังคงมีความคิดแบบนี้)
อย่างไรก็ตาม Weishaupt ยังบอกอีกว่า ลูกจ้างไม่ได้ถูกว่าจ้างมาเพื่อให้นายจ้างนั่งเฝ้าตลอดเวลา พวกเขาถูกจ้างมาเพื่อให้ทำงานให้เสร็จ ดังนั้นถ้าหากคุณมีวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่น และพนักงานของคุณมีความรับผิดชอบ ก็ควรที่จะโฟกัสที่ผลลัพธ์มากกว่าการคอยติดตามว่าตอนนี้ใครทำอะไรอยู่ที่ไหน
ดังนั้น Coffee badging จึงเป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการทำ Hybrid Working ยังเวิร์คอยู่ในยุคนี้หากคนในองค์กรของคุณทำงานแบบยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี สำหรับองค์กรในประเทศไทย หากองค์กรของคุณให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าชั่วโมงการทำงานและการเข้าออฟฟิศอยู่แล้ว ก็สามารถตามเทรนด์นี้ได้ไม่ยาก เพราะหลายองค์กรก็ออกแบบให้วันเข้าออฟฟิศเป็นวันที่มีกิจกรรมพิเศษ เพื่อจูงใจให้พนักงานอยากออกจากบ้านมาทำงานมากขึ้น เช่น มีการเลี้ยงอาหารกลางวัน เลี้ยงกาแฟ มีกิจกรรมตอนเย็น หรือเก็บเรื่องสำคัญไว้คุยกันในวันที่สมาชิกต้องเข้ามาเจอกัน แบบนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ในที่ทำงานดีขึ้น มากกว่าการคอยจับผิดว่าพนักงานของเราทำงานถึงวันละ 8 ชั่วโมงหรือเปล่า?
Q Hunter - Matching the right people at the first time
บริษัทจัดหางานที่มีตำแหน่งงานดีๆ รอคุณอยู่ ฝาก Resume ไว้ได้เลยที่ Apply here
สนใจบริการสรรหาพนักงานสามารถติดต่อได้ที่ Contact Us