การทำงานจากระยะไกล หรือ Remote Working คือเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงตั้งแต่ปี 2022 จนถึงปีนี้ เพราะโลกยุคหลังโควิด ได้เปลี่ยนมุมมองของทั้งองค์กรและพนักงานไปแล้ว การทำงานในโลกยุคใหม่จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าออฟฟิศ ไม่ต้องเจอกันทุกวัน ไปจนถึงไม่ต้องอยู่ในประเทศเดียวกันก็ได้ จะอยู่ส่วนไหนของโลกก็ร่วมงานกันได้ แค่มีสกิลตรงกับที่บริษัทต้องการก็พอ บางองค์กรมีพนักงานทำงานจากทั่วทุกมุมโลก มีคนที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญหลากหลาย โดยที่พนักงานไม่จำเป็นต้องย้ายประเทศเลย มาดูกันว่า องค์กรเหล่านี้จะได้ประโยชน์อย่างไรบ้างกับการปรับตัวให้สอดคล้องกับเทรนด์การทำงานจากระยะไกล
1. Lower costs — ช่วยลดค่าใช้จ่ายทั้งนายจ้างและพนักงาน
การทำงานแบบ Remote Working ช่วยให้ทั้งบริษัทและพนักงานสามารถประหยัดเงินได้มากขึ้น บริษัทสามารถลดต้นทุนค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่า และค่าอุปกรณ์ได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้สามารถลดและเปลี่ยนเป็นสวัสดิการอื่นๆ เมื่อพนักงานทำงานที่บ้านหรือที่อื่นๆ ได้
ส่วนพนักงานก็ไม่ต้องเดินทางไปทำงานและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการออกไปนอกบ้าน เช่น ค่าอาหาร ค่ากาแฟ ค่าเดินทาง ไปจนถึงค่าเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นกับการเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศ
2. Broadening job opportunities — ขยายโอกาสในการทำงาน
การที่องค์กรยุคใหม่มีรูปแบบทำงานจากระยะไกล จะช่วยขยายโอกาสในการทำงานให้กว้างขึ้น และเข้าถึงพนักงานที่มีความสามารถจากทั่วโลก หากองค์กรของคุณเป็นองค์กรที่ต้องทำงานติดต่อกับต่างประเทศ กำลังต้องการตำแหน่งที่หาคนได้ยากในประเทศไทย หรือต้องการทักษะที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง การเปิดโอกาสให้มีพนักงานที่ทำงานจากระยะไกล จะทำให้ ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงงานได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถรับบุคลากรที่มีทักษะสูงข้ามพรมแดนได้
3. More autonomy — อิสระมากขึ้น
พนักงานที่ทำงานระยะไกลมีอิสระและความยืดหยุ่นมากขึ้นในการทำงาน การทำงานในรูปแบบใหม่นี้ช่วยกระตุ้นให้พนักงานริเริ่มที่จะไม่สนับสนุนการจัดการแบบจู้จี้จุกจิก (Micromanagement) ที่ผู้จัดการหรือหัวหน้างานบางคนมักจะชอบควบคุมการทำงานทุกฝีก้าว
จากการสำรวจของ Accountemps บอกว่า 68% ของผู้เข้าร่วมกล่าวว่าความจุกจิกของหัวหน้าทำให้ขวัญกำลังใจในการทำงานของพวกเขาลดลง ในขณะที่ 55% บอกว่ามันส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขา
4. Reduce carbon footprint — ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน
เนื่องจากบางที่ไม่จำเป็นต้องมีสำนักงาน หรือไม่ต้องเดินทางมาทำงานที่ออฟฟิศเลย จึงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและการใช้พลังงานได้อย่างมาก การทำงานจากระยะไกลทำให้ธุรกิจต่างๆ ในหลายอุตสาหกรรมสามารถต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ESG หรือ Environmental, social, and governance ในด้านสิ่งแวดล้อม เป็นนโยบายหนึ่งที่องค์กรสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ว่าการปรับเปลี่ยนให้มีการจ้างงานหรือทำงานระยะไกลช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มากน้อยแค่ไหน
5. Improve employee retention — ปรับปรุงเรื่องการรักษาความสัมพันธ์ของพนักงาน
บางคนอาจจะคิดว่าการทำงานจากระยะไกลอาจจะนำไปสู่การขัดแย้งภายในบริษัทสูง เนื่องจากพนักงานจะทำตัวเกียจคร้านและไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน หรือมีปัญหาในการสื่อสารทางไกลเพราะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้สื่อสารกันตรงๆ
แต่การสำรวจของ Global Workplace Analytics กลับได้ผลตรงกันข้าม เนื่องจาก 95% ของนายจ้างกล่าวว่า การทำงานจากระยะไกลส่งผลดีต่อบริษัทของพวกเขา ขณะที่ 46% ขององค์กรที่อนุญาตให้พนักงานทำงานจากระยะไกลได้ พบว่าอัตราการเลิกจ้างงานในองค์กรลดลง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าพนักงานในองค์กรเหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่นอกออฟฟิศหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาควบคุมได้ ไปจนถึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานก็ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะวันๆ อาจจะคุยแค่เรื่องงานเฉพาะในเวลางานเท่านั้น ไม่ต้องรู้สึกกดดันหากมีปัญหากัน หรือลำบากใจที่ต้องร่วมงานกับใคร เพราะอย่างไรก็ไม่เจอหน้ากันอยู่แล้ว
Source:
Business Review
________________________________________
Q Hunter - บริษัทจัดหางาน
ตำแหน่งงานดีๆ รอคุณอยู่ ฝาก Resume ไว้ได้เลยที่ https://www.qhunter.co.th/ENG/job-list-all.html
Q Hunter - Matching the right people at the first time
บริษัทจัดหางานที่มีตำแหน่งงานดีๆ รอคุณอยู่ ฝาก Resume ไว้ได้เลยที่ Apply here
สนใจบริการสรรหาพนักงานสามารถติดต่อได้ที่ Contact Us